-Mark Wahlberg (Cade Yeager)
-Josh Duhamel (Col. William Lennox)
-Stanley Tucci (Wizard Merlin)
-Anthony Hopkins (Sir Edmund Burton)
-Laura Haddock (Viviane Wembly )
กำกับการแสดง
-Michael Bay
ภาพยนตร์ Transformers The Last Knight ภาพยนตร์แนวScience Fiction Action มาในภาคนี้ไม่รู้จะเรียกว่าภาคจบหรือยังไงดี เพราะกลุ่มออโต้บอทส์ ที่นำทีมโดย ออพติมันไพรม์ จะกลับไปยังดาวไซเบอร์ตรอน ที่เป็นบ้านเกิด แต่ดาวถูกทำร้าย จริงต้องหาทางทำให้ดาวกลับมาสงบสุขเหมือนเดิม
เมื่อกลุ่มทรานส์ฟอร์เมอร์สเข้าสู่สงคราม ออพติมัส ไพรม์ สิ่งที่จะรักษาอนาคตขึ้นอยู่กับความลับในอดีต ประวัติศาสตร์ทรานส์ฟอร์เมอร์สบนโลกที่ยังไม่ถูกเปิดเผย การตามหาสิ่งลึกลับบางอย่างในจักรวาล และวัตถุที่ว่านั้นก็เกี่ยวโยงไปถึงเมอร์ลิน รับบทโดย Stanley Tucci พ่อมดในตำนานสมัยกษัตริย์อาเธอร์ด้วย แต่ออพติมัสพลาดท่า จนถูก ผู้สร้าง(ควินเทชชั่น เผ่าพันธุ์ผู้ทรงภูมิ จุดกำเนิดทรานฟอร์เมอร์ทำให้กลายเป็นศัตรูของเหล่ามนุษย์ไป หนังเปิดตัวมาด้วยบทพูดและอธิบายเรื่องราวในอดีต ซึ่งฟังยังไงก็ยังงงกับการเล่าเรื่อง เรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ไม่ไว้ใจหุ่นยนต์แบบงงๆ หรือการที่Cade Yeager รับบทโดย Mark Wahlberg ไปเก็บเด็กสาวเร่ร่อนมาเลี้ยงแต่ก็ไม่เข้าใจว่าหนังต้องการสื่ออะไรไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับหนังสักเท่าไร และหนังก็ใช้เวลาสลับเรื่องราวระหว่าง ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกบุญธรรมระหว่างCadeและIsabel และการตามหาความจริงเรื่องวัตถุประหลาดบนโลกของเซอร์เอ็ดมอนด์การค้นพบภัยพิบัติของนาซ่าและการถูกครอบงำของออพติมัสไพร์มแบบกระจัดกระจายจนน่าสับสน ด้านฉากactionสลับไปมา การต่อสู้ต่อต้านระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ ภาคนี้Michael Bay ผู้กำกับ พยายามสร้างเหตุผลโยงเรื่องราวในการต่อสู้ เพื่อปกป้องมนุษย์กว่า 1,600 ปีของเหล่าออโต้บอทส์เข้าไป ถึงขนาดใช้คน4คนมาช่วยระดมสมองมาในการเขียนบททำให้เนื้อเรื่องดูมีเหตุและผลมากที่สุด การโยงเรื่องราวตั้งแต่ยุคคิง อาร์เธอร์ ไล่โยงมาถึงสงครามหลายๆ ครั้ง เหตุการณ์และบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์หลายๆ คน ภาพยนตร์ค่อนข้างปนเปแบบฉากต่อสู้ก็อยากทำ เนื้อเรื่องมากมายก็อยากโยง ทำให้ภาคนี้เกิดความน่าเบื่อแก่ผู้ชม
ถ้าจะต้องเทียบกับภาคแรกที่มีส่วนผสมที่ลงตัวทั้งไซไฟ จินตนาการแบบหนังสปีลเบิร์ก โดยมีฉากหุ่นยักษ์ และตัวสมทบกับฉากแอ็คชั่นตื่นตาตื่นใจสไตล์ ผู้กำกับ ไมเคิล เบย์ จนทำให้ Transformers (2007) กลายเป็นหนังไซไฟที่ถูกใจคอหนังทันทีที่มันออกฉาย แต่ต่อมาด้วยพาคใหม่ที่สร้างขึอนกับความสมเหตุสมผลของบทหนังที่ไม่ลงตัว ก็ทำให้มันกลายเป็นงานขายเอฟเฟกต์คือสิ่งเดียวที่ให้มีแฟนคลับรอติดตามชม กับโชว์แปลงร่าง หรือ ระเบิด พังตึก ทะลุทราบ ฝุ่นตลบ เรียกได้ว่าการจบของภาพยนตร์ Transformers The Last Knight เหมือนตกม้าตาย น่าเสียดายที่ผู้กำกับและฝ่ายเขียนบทนำเสนอแบบนี้
เนื้อเรื่อง6/10
ความสนุก7/10
Special effect 9/10